1. นักศึกษาอธิบายคำนิยามต่อไปนี้ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ก. การศึกษา ข. การศึกษาขั้นพื้นฐาน ค. การศึกษาตลอดชีวิต ง. มาตรฐานการศึกษา
จ. การประกันคุณภาพภายใน ช. การประกันคุณภาพภายนอก ซ.
ผู้สอน ฌ. ครู
ญ. คณาจารย์ ฐ. ผู้บริหารสถานศึกษา
ฒ. ผู้บริหารการศึกษา ณ. บุคลากรทางการศึกษา
ตอบ
ก. การศึกษา เป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้
การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลง ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม
สังคม การเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
ข. การศึกษาขั้นพื้นฐาน
หมายถึง
การศึกษาก่อนระดับอุดมศึกษา ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับก่อนประถมศึกษา
ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา
-
ระดับก่อนประถมศึกษา หมายถึง การศึกษาในประเภทศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และชั้นเด็กเล็ก
โดยมีระยะเวลาเรียน 1 ปี และการจัดการศึกษาประเภทอนุบาล มี 2 หลักสูตร คือ
อนุบาลหลักสูตร 2 ปี และหลักสูตร 3 ปี
- ระดับประถมศึกษา หมายถึง
การศึกษาที่มุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถขั้นพื้นฐาน ในเวลาเรียน 6 ปี
- ระดับมัธยมศึกษา หมายถึง
การศึกษาหลังระดับประถมศึกษา ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ช่วงตอน คือ มัธยมศึกษาตอนต้นเทียบเท่าชั้น
ม. 3 และมัธยมศึกษาตอนปลาย คือ ชั้น ม.4 ถึง ม. 6 และประเภทอาชีวศึกษา คือ
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)
ค. การศึกษาตลอดชีวิต หมายถึง
การจัดกระบวนการทางการศึกษา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เป็นการจัดการศึกษาในรูปแบบของการศึกษาในระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย
โดยมุ่งให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง มุ่งพัฒนาบุคคลให้สามารถพัฒนาตนเอง
และปรับตนเองให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของสังคมการเมืองและเศรษฐกิจของโลก
ง. มาตรฐานการศึกษา การจัดการศึกษา
ให้ยึดหลักดังนี้
1)
เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน
2)
ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
3)
การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
จ. การประกันคุณภาพภายใน หมายถึง การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากภายใน
โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือหน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่กากับดูแลสถานศึกษานั้น
ช. การประกันคุณภาพภายนอก หมายถึง การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากภายนอก
โดยสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่สานักงานดังกล่าวรองรับ
เพื่อเป็นการประกันคุณภาพ และให้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของสถานศึกษา
ซ. ผู้สอน หมายความว่า
ครูและคณาจารย์ในสถานศึกษาระดับต่าง ๆ
ฌ. ครู หมายความว่า
บุคลากรวิชาชีพซึ่งทาหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง
ๆ ในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน
ครู
มีองค์ประกอบ 2 อย่างคือ
1. ทำหน้าที่หลักด้านการเรียนการสอน
2. ทำหน้าที่นั้นในสถานศึกษา
(ที่สอนต่ำกว่าปริญญา)
ญ. คณาจารย์ หมายความว่า บุคลากรซึ่งทาหน้าที่หลักทางด้านการสอนและการวิจัยในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาและระดับปริญญาของรัฐและเอกชน
ฐ. ผู้บริหารสถานศึกษา หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาแต่ละแห่งทั้งของรัฐและเอกชน
ฒ. ผู้บริหารการศึกษา
หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารการศึกษานอกสถานศึกษาตั้งแต่ระดับเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นไป
ณ. บุคลากรทางการศึกษา หมายความว่า ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา
รวมทั้งผู้สนับสนุนการศึกษาซึ่งเป็นผู้ทาหน้าที่ให้บริการ หรือปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน
การนิเทศและการบริหารการศึกษาในหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ
2. ความมุ่งหมายและหลักการจัดการศึกษาได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษานี้อย่างไรบ้างให้อธิบาย
ตอบ ความมุ่งหมายและหลักการของการจัดการศึกษา
(มาตรา 6-มาตรา 9)
1. ความมุ่งหมายของการจัดการศึกษา (มาตรา 6)
การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุ
2. กระบวนการเรียนรู้ (มาตรา 7)
กระบวนการเรียนรู้ ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสานึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
รู้จักรักษาและส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค
และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย
รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมและของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนาศิลปะ
3. หลักการจัดการศึกษา มี 3 ประการคือ (มาตรา 8)
(1)
เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน
(2) ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
(3)
การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
4. การจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษาให้ยึดหลักดังนี้ (มาตรา 9)
(1) มีเอกภาพด้านนโยบาย
และมีความหลากหลายในการปฏิบัติ
(2) มีการกระจายอำนาจ ไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา
สถานศึกษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(3) มีการกำหนดมาตรฐานการศึกษา
และจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา
(4)
มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา และการพัฒนาครู
คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
(5) ระดมทรัพยากร จากแหล่งต่าง ๆ
มาใช้ในการจัดการศึกษา
(6) การมีส่วนร่วม ของบุคคล
ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน
องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น
(3) หลักการจัดการศึกษาประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ หลักการจัดการศึกษา มี 3 ประการคือ (มาตรา 8)
(1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน
(2) ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
(3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
1. การศึกษาตลอดชีวิต ถือว่าการจัดการศึกษานั้นเป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน การศึกษานี้ต้องครอบคลุมทุกด้าน มิใช่เฉพาะชีวิตการงานเท่านั้น
เพราะไม่เพียงบุคคลต้องพัฒนาตนเองและความสามารถในการประกอบอาชีพของตน
คนแต่ละคนต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาชุมชนและประเทศโดยส่วนรวม
2. การมีส่วนร่วม
สังคมต้องมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาแสดงออกได้หลายลักษณะ เช่น ร่วมเป็นกรรมการ
ร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมสนับสนุนกิจกรรมทางการศึกษา ร่วมสนับสนุนทรัพยากร ร่วมติดตามประเมิน
ส่งเสริมให้กำลังใจและปกป้องผู้ปฏิบัติงานที่มุ่งประโยชน์ต่อส่วนรวม
3. การพัฒนาต่อเนื่อง คือ การจัดการศึกษาต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
การพัฒนานี้มีทั้งการค้นคิดสาระและกระบวนการเรียนรู้ใหม่ๆ
การประยุกต์ปรับปรุงเนื้อหาสาระที่มีอยู่
และการติดตามเรียนรู้เนื้อหาสาระที่มีผู้ประดิษฐ์คิดค้นมาแล้วเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะช่วยกันดูแลให้ความรู้ใหม่ๆ
เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนและสังคมอย่างแท้จริง
4. การจัดระบบ
โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ตามที่กฎหมายกำหนดมีอะไรบ้าง
ตอบ หมวด 3 ระบบการศึกษา (มาตรา 15-21) มีดังนี้
1.
การจัดการศึกษามี 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย
สถานศึกษาแต่ละแห่งสามารถจัดการศึกษาได้ 3 รูปแบบหรือรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งทั้ง 3 รูปแบบนี้สามารถเทียบโอนกันได้
2. การจัดการศึกษาแบ่งเป็น 2 ระดับคือ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาระดับอุดมศึกษา สาหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จะเรียกชื่อเป็นประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย
หรืออย่างอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง การศึกษาระดับอุดมศึกษา มี 2 ระดับคือ
ระดับปริญญาและต่ำกว่าปริญญา
3. การศึกษาภาคบังคับมีกำหนด 9 ปี เด็กอายุ 6
ขวบต้องเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึง
อายุ 15 ขวบ เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่ 9 ของการศึกษาภาคบังคับ
หลักเกณฑ์การนับอายุให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
4. การจัดการศึกษาปฐมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ให้จัดในสถานศึกษา 3 ประเภทคือ (1) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (2) โรงเรียน (3)
ศูนย์การเรียน
5.
การอาชีวศึกษาให้จัดในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนรวมทั้งสถานประกอบการและองค์กรหรือหน่วยงานอื่น
ตามกฎหมายว่าด้วยอาชีวศึกษา
6. กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานของรัฐ อาจจัดการศึกษาเฉพาะทางตามความต้องการและความชำนาญของหน่วยงาน
โดยคำนึงถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติ ทั้งนี้ ตามทหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
5. สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา
ที่กำหนดไว้ในกฎหมายมีอะไรบ้าง
ตอบ มีสาระสำคัญของหมวดนี้
มีดังนี้
(มาตรา 10-14) (คำหมาน คนไค, 2543, 31)
1. การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า
12 ปี อย่างทั่วถึง (Education for all) มีคุณภาพ
(Educational Quaality) และไม่เก็บค่าใช้จ่าย (Free
Education)
2. บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา อารมณ์สังคม ผู้ด้อยโอกาสและผู้มีความสามารถพิเศษ มีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ
3. พ่อแม่ ผู้ปกครอง บุคคล
ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน สถานประกอบการ สถาบันศาสนาและสถาบันอื่น ๆ มีสิทธิจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่บุตรหลานของตนหรือบุคคลทั่วไป
6. ระบบการศึกษามีกี่รูปแบบแต่ละรูปแบบมีอะไรบ้าง
จงอธิบาย
ตอบ 1. การจัดการศึกษามี 3 รูปแบบ คือ
การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษา
ตามอัธยาศัย
สถานศึกษาแต่ละแห่งสามารถจัดการศึกษาได้ 3 รูปแบบหรือรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งทั้ง 3
รูปแบบนี้สามารถเทียบโอนกันได้
2. การจัดการศึกษาแบ่งเป็น 2
ระดับคือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาระดับอุดมศึกษา สาหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จะเรียกชื่อเป็นประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย หรืออย่างอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง
การศึกษาระดับอุดมศึกษา มี 2 ระดับคือ
ระดับปริญญาและต่ำกว่าปริญญา
3. การศึกษาภาคบังคับมีกำหนด 9 ปี
เด็กอายุ 6 ขวบต้องเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงอายุ 15 ขวบ
เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่ 9 ของการศึกษาภาคบังคับ หลักเกณฑ์การนับอายุให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
4.
การจัดการศึกษาปฐมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้จัดในสถานศึกษา 3 ประเภทคือ
(1) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (2)
โรงเรียน (3) ศูนย์การเรียน
5.
การอาชีวศึกษาให้จัดในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนรวมทั้งสถานประกอบการและองค์กรหรือหน่วยงานอื่น
ตามกฎหมายว่าด้วยอาชีวศึกษา
6. กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานของรัฐ อาจจัดการศึกษาเฉพาะทางตามความต้องการและความชำนาญของหน่วยงาน
โดยคำนึงถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติ
7. การจัดการศึกษาในระบบมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ ในมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.2542 นิยาม ความหมายของการศึกษา
มีความหมายว่า “กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้
การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรมการสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ
การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมของสังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต”
และมาตรา 15 ได้กำหนดระบบการศึกษา
ในการจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบ
และการศึกษาตามอัธยาศัย
8. สถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลเป็นอย่างไร
ตอบ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 ต้องการให้มีการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาทั้งด้านวิชาการ
การบริหารงานบุคคล งบประมาณ และการบริหารงานทั่วไป
ไปยังสถานศึกษาเพื่อให้สถานศึกษามีความคล่องตัว เป็นอิสระ
สามารถบริหารจัดการศึกษาในสถานศึกษาได้สะดวก รวดเร็ว
มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับการบริหารจัดการ โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน การกำหนดให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีฐานะเป็นนิติบุคคล
จะเป็นเครื่องมือสำคัญให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีความเป็นอิสระ
สามารถบริหารจัดการศึกษาในสถานศึกษาได้สะดวกรวดเร็วมีประสิทธิภาพได้
นิติบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
นิติบุคคลในกฎหมายเอกชน และนิติบุคคลในกฎหมายมหาชน
1.นิติบุคคลในกฎหมายเอกชน
หมายถึง นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยอำนาจจากกฎหมายเอกชน
เป็นการดำเนินการที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเอกชนและไม่มีอำนาจเหนือบุคคลอื่นมีความสัมพันธ์เท่าเทียม
2.นิติบุคคลในกฎหมายมหาชน
หมายถึง
นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยอาศัยอำนาจจากกฎหมายมหาชนที่เป็นการบริการสาธารณะที่เป็นอำนาจมหาชนหรืออำนาจรัฐ
9. แนวทางการจัดการศึกษามีหลักยึดอะไรบ้าง
ตอบ แนวการจัดการศึกษาเป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา
มีสาระสำคัญดังนี้
1. ยึดหลักว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ให้ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
และต้องให้แต่ละคนสามารถพัฒนาตามความถนัด
ความสนใจและเต็มศักยภาพของเขา
2. เนื้อหาสาระของการศึกษาทุกระบบทุกรูปแบบ ต้องเน้นความรู้คู่คุณธรรมและ
กระบวนการเรียนรู้ โดยบูรณาการ (ผสมผสาน)
ตามความเหมาะสมของระดับการศึกษา
3. เนื้อหาสาระของวิชาความรู้ที่ต้องไปกำหนดหลักสูตรและจัดการเรียนรู้
4. การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
5. รัฐต้องส่งเสริมการดำเนินงานและการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบได้แก่
ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์
หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ เป็นต้น
6. ให้สถานศึกษาจัดประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน
ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวน
การเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ
7. ให้สถานศึกษาใช้วิธีการหลากหลายในการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อ
และให้นาผลการประเมินผู้เรียนในระดับก่อนนั้นมาพิจารณามาประกอบด้วย
8. หลักสูตรแกนกลางของการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดโดยคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและให้สถานศึกษาจัดทาสาระของหลักสูตรในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหา
ในชุมชนและสังคมและประเทศชาติ
9. หลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ รวมทั้งหลักสูตรการศึกษาสาหรับบุคคลที่บกพร่องทางร่างกาย
คนพิการ และบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ ต้องมีลักษณะที่หลากหลาย ให้จัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ
มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสมแก่วัยและศักยภาพ
10. สาระของหลักสูตร ที่เป็นวิชาการและวิชาชีพ มุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุล
ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม และหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา
มีความมุ่งหมายที่จะพัฒนาวิชาการ วิชาชีพชั้นสูงและการค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และพัฒนาสังคม
11. ให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่นๆ
12. ให้สถานศึกษาต้องพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ระดับการศึกษา
10.ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่กำหนดให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา
ทั้งรัฐและเอกชนจะต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
ตอบ เห็นด้วย ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ 2542
ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บททางการศึกษาของประเทศไทยที่ได้ประกาศราชกิจจาอุเบกขาเมื่อวันพฤหัสบดีที่
19 พ.ศ 2542 หมวดที่
7 ครู คณาจารย์และบุคคลทางการศึกษา ได้กำหนดให้มี
องค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และ ผู้บริหารศึกษา
มีฐานะเป็นองค์อิสระภายใต้การบริหารของการบริหารวิชาชีพในกำกับของกระทรวง
มีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพ ดังนั้น
เพื่อเป็นการเตรียมให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
11. มีวิธีการระดมทรัพยากรเพื่อพัฒนาการศึกษาในท้องถิ่นของท่านได้อย่างไรบ้าง
ตอบ การมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในท้องถิ่นนั้นก่อให้เกิดผลดีต่อการขับเคลื่อนของสถานศึกษา
เพราะมีผลในทางจิตวิทยาเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมย่อมเกิดความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหาร
ความคิดเห็นถูกรับฟังและนำไปปฏิบัติเพื่อการพัฒนาสถานศึกษา ที่สำคัญผู้ที่มีส่วนร่วมจะมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ
และจะเป็นพลังในการขับเคลื่อนการบริหารได้ดีที่สุด ซึ่งนอกจากนั้นยังมีการจัดระดมทรัพยากร
เช่น งบประมาณ วัสดุ สื่อ เทคโนโลยี เพื่อมาสนับสนุนการจัดการศึกษาตามความเหมาะสมและความจำเป็น
ซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนจะวิเคราะห์ให้เห็นว่าจากประสบการณ์การดำเนินงานที่ผ่านมานั้นมีกลยุทธ์หรือปัจจัยอะไรบ้างที่นำไปสู่ความสำเร็จของการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา
12. การพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
มีวิธีการพัฒนาได้อย่างไร
ตอบ
วิธีการดำเนินงานเกี่ยวกับระบบงานสื่อโดยทั่วไป
ระบบงานสื่อและเทคโนโลยีการศึกษาเป็นงานที่เสาะหาแนวทางการใช้ทรัพยากรการศึกษาและวิธีระบบการจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพดังนั้นเพื่อให้ระบบงาน
ดำเนินงานไปได้อย่างมีคุณภาพ
จึงควรมีวิธีดำเนินงานระบบงานสื่อและเทคโนโลยีการศึกษาโดยทั่วไปเป็นขั้นตอน ดังนี้
1. สำรวจความต้องการของผู้ใช้กลุ่มต่างๆ
โดยใช้แบบสำรวจที่ดี
2. เลือกและใช้วิธีการ
(Means) ที่เหมาะสม
3. รวบรวมทรัพยากรการศึกษาต่าง
ๆ จากระบบงานสื่อและเทคโนโลยีการศึกษาระดับท้องถิ่น
4. สื่อความเข้าใจกันและกัน
เกี่ยวกับรูปแบบระบบงานที่กำหนดขึ้น
5. ออกแบบ วางแผน
จัดหาและผลิตสื่อตลอดจนวัสดุการศึกษาและการเรียนการสอนตามจุดมุ่งหมายและหลักสูตร
6. จัดหาบุคลากร
เพื่อดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของระบบงาน
7. มีการสื่อสาร
รายงานและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์อยู่เสมอ
8. รับความช่วยเหลือทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
ในการผลิตการจัดหาและการใช้ทรัพยากรการศึกษาต่าง ๆ
9. จัดสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้และเพื่อพัฒนาภารกิจของระบบงาน
10. สถานที่ตั้งของหน่วยงานโครงการ
ควรอยู่ในที่เหมาะสม มีความคล่องตัวเป็นศูนย์กลางติดต่อง่ายและใช้บริการสะดวก
11. ร่วมมือและประสานงาน
ในการกำหนดนโยบายระบบงาน
ทั้งนโยบายทั่วไปและนโยบายเฉพาะกิจในการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร